บทนำ
เกาส์ นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า คณิตศาสตร์เป็นราชินีของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์มีความสำคัญในการศึกษามาแต่โบราณ ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันว่าคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานของศาสตร์หลายสาขา นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือพัฒนาสมองด้านการคิด การแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ถ้าเรามีเด็กเก่งคณิตศาสตร์มาก ๆ เราก็หวังว่าศาสตร์ต่าง ๆ จะสามารถพัฒนาอย่างก้าวหน้าและมั่นคง เราจะมีคนที่มีสมองที่มีคุณภาพในการคิดและแก้ปัญหายิ่งขึ้น
ความหมายและลักษณะของเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
คำว่าเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Gifted Child หรือ Talented Child ซึ่งมักจะเรียกสับไปมาโดยยังไม่มีข้อยุติที่แน่นอน เช่นเดียวกับในภาษาไทยเองก็มักจะมีคำเรียกหลายอย่างแตกต่างกันไป เช่น เด็กเก่ง เด็กที่มีความสามารถพิเศษ เด็กอัจฉริยะ หรือเด็กปัญญาเลิศ เป็นต้น เรนซูลลี (Renzulli) ได้กล่าวถึงหลักทฤษฏีสามห่วงซึ่งแสดงถึงความเป็นนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษว่าจะประกอบด้วยคุณลักษณะ 3 ประการดังนี้
ความสามารถสูงกว่าปกติ (above average ability)
มีความมานะมุ่งมั่นในงาน (task commitment)
มีความคิดสร้างสรรค์ (creativity)
การ์ดเนอร์ (Howard Gardner) ได้เขียนทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) แบ่งสติปัญญาของคนโดยทั่วไปออกเป็น 7 ด้านคือ
ด้านภาษา (Verbal / Linguistic) คนที่เก่งด้านนี้จะเป็นคนที่คิดและเรียนรู้ โดยผ่านการเขียนและการพูด มีความสามารถในการจำข้อมูล ชอบทำงานเขียนและชอบอ่าน เรียนรู้ได้ดีในเรื่องภาษาจากการเห็น จากการจำเสียง เข้าใจความหมายของคำ หลักเกณฑ์ของภาษา วิธีการสร้างสรรค์ทางภาษา จะเป็นนักพูด นักเขียนที่รู้จักใช้ภาษาเป็นอย่างดี
ด้านดนตรี (Musical / Rhythmic) คนที่เก่งด้านนี้ จะเป็นคนที่มีอารมณ์สุนทรีย มีจินตนาการ
ที่มีความสัมพันธ์กับเสียงและความงาม ชอบที่จะฟัง ทำเสียงเพลง มีสุนทรียด้านดนตรีได้ยินเสียงเพลงจะต้องเต้นทันที
ด้านตรรก (Logical / Mathematical) คนที่เก่งด้านนี้จะเป็นคนที่คิดอย่างมีเหตุผล เป็นขั้นตอน
ชอบทำงานกับตัวเลข และรู้ถึงรูปแบบที่เป็นนามธรรม ชอบกิจกรรมลับสมองประลองปัญญา เกมกลต่าง ๆ เกมที่ใช้ความคิด
ด้านมิติสัมพันธ์ (Visual /Spatial) คนที่เก่งด้านนี้จะเป็นคนที่มองเห็น และเข้าใจความสัมพันธ์ของรูปทรงและมิติอย่างลึกซึ้ง มีความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและสื่อสารโดยใช้ภาพและแผนภาพ
ด้านกายลีลา (Body/Kinesthetic) คนที่เก่งด้านนี้จะมีความสามารถในการเคลื่อนไหวเก่งด้านกีฬา
ด้านมนุษยสัมพันธ์(Interpersonal) คนที่เก่งด้านนี้ สามารถเข้าใจความรู้สึกและความคิดของคนอื่น จะเรียนรู้และสัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้ดี มีความสามารถในการสื่อสาร
ด้านรู้จักตนเอง (Intrapersonal) คนที่เก่งด้านนี้จะสนุกสนานและเรียนรู้ โดยผ่านการควบคุม
ตรวจสอบ และไตร่ตรองของตนเอง ชอบทำงานตามลำพัง เข้าใจความคิดของตนเอง สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างลึกซึ้ง
เฮาส์ (House. 1991,51) ได้กล่าวถึงลักษณะของเด็กที่มีความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ ไว้ดังนี้
- มีความแนวโน้มที่จะเลือกทำคณิตศาสตร์เมื่อเขามีโอกาสเลือกทำกิจกรรม
- เรียนรู้เนื้อหาคณิตศาสตร์ได้รวดเร็วกว่านักเรียนในชั้นหรือวัยเดียวกัน
- มักจะข้ามขั้นตอนในการแก้ปัญหาหรือใช้วิธีรวบรัดและมักจะใช้วิธีในการแก้ปัญหาที่คนอื่นคาดไม่ถึง
- ชอบที่จะทำปัญหาในลักษณะที่เป็นนามธรรม มักจะไม่ใช้สื่อที่เป็นรูปธรรม
- มีความสนุกและประสบความสำเร็จในการหารูปแบบ ความสัมพันธ์และชอบที่จะอธิบาย
- ตั้งใจและทุ่มเทเวลาให้กับการแก้ปัญหาที่สนใจ
- มีความสามารถเชิงเหตุผลและความจำ
- ชอบและให้ความสนใจกับความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาใหม่กับปัญหาต่าง ๆ ที่แก้มาแล้ว
- ชอบที่จะตั้งปัญหาที่มีลักษณะที่ไม่เหมือนใคร
- สามารถกำกับและควบคุมตนเองได้อย่างอิสระ
- สนุกสนามกับการแก้ปัญหาที่เป็นปริศนา (puzzles) และเกมต่าง ๆ
อุษณีย์ โพธิสุข (2543, 46-47) ได้กล่าวถึงลักษณะของนักคณิตศาสตร์ไว้ 31 ข้อดังนี้
- ชอบอ่านประวัติและผลงานของนักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียง
- สนใจศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเลข
- รักและหลงใหลในตัวเลข เช่นเลือกข้าวของเครื่องใช้ที่มีตัวเลข
- ชอบคบหากับคนที่มีความสนใจทางคณิตศาสตร์โดยไม่จำกัดวัย
- ชอบเล่นตัวต่อยาก ๆ หรือของเล่นที่เกี่ยวกับการสร้างรูปทรง
- หมกมุ่น ครุ่นคิดและฝึกฝนโจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
- เบื่อโจทย์เลขหรือบทเรียนที่ไม่ท้าทาย ซ้ำซากหรือง่ายเกินไป
- ใช้วิธีแปลกใหม่ในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ไม่ชอบทำตามวิธีที่คนอื่นทำ
- ลัดขั้นตอนการแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
- คิดโจทย์ปัญหาได้อย่างพลิกแพลง ซับซ้อนและมองเห็นแง่มุมที่คนอื่นคิดไม่ถึง
- เป็นคนมีจินตนาการดี สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้หลายมิติ
- เป็นคนช่างคิด มีวิธีคิดที่ดี มีไหวพริบ
- เข้าใจความหมายของจำนวนและตัวเลขอย่างรวดเร็ว
- มีเหตุผลเป็นหลักในการตัดสินใจ
- ชอบตั้งคำถามที่เป็นเหตุต่อกัน เช่น ถ้า…แล้ว…ดังนั้น…เพราะว่า…ถ้าไม่…แล้ว….
- ชอบวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล
- สนใจเรื่องนามธรรมเกี่ยวกับเวลา อากาศ และมิติของเวลา
- มองเห็นความสัมพันธ์ เชื่อมโยงโครงสร้างและความสมดุลของสิ่งต่าง ๆ
- เรียนรู้เกี่ยวกับจำนวน ตัวเลข และสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ได้อย่างรวดเร็ว
- ชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์
- ชอบชั่ง ตวง วัด นับ
- ชอบจัดลำดับหมวดหมู่สิ่งของ หรือวาดรูปในลักษณะที่เรียงตามลำดับ
- ได้คะแนนทดสอบทางคณิตศาสตร์สูง
- สรุปความคิดในเชิงคณิตศาสตร์ได้รวดเร็ว
- เชื่อมโยงประเด็นปัญหากับเรื่องอื่น ๆ ได้อย่างสมเหตุสมผล
- จดจำความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของปัญหาและหลักการหาคำตอบที่ผ่านมาได้ดี
- เชื่อมั่นในคำตอบหรือหลักเกณฑ์การคิดทางคณิตศาสตร์ของตนเอง
- มีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเดียวกันได้หลายรูปแบบ
- ชอบโจทย์คณิตศาสตร์ที่ยาก
- มองเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงของโครงสร้างและความสมดุลของสิ่งต่าง ๆ
- มีแนวโน้มที่จะมองอะไร ๆ โยงมาเกี่ยวพันกับคณิตศาสตร์ได้หมด
พิชากร แปลงประสพโชค (2540,7) ให้ความหมายเด็กที่มีความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ไว้ว่าหมายถึงเด็กนักเรียนที่มีทักษะความคิดระดับสูงในทัศนะของบลูม มีความคิดวิจารณญาณ ความคิดสร้างสรรค์ และมีความสามารถสูงในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์
ยุพร ริมชลการ (2543, 6) ให้ความหมายเด็กที่มีความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ ไว้ว่า หมายถึงนักเรียนที่สอบผ่านเกณฑ์การคัดเลือกนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษด้วยเครื่องมือคัดเลือกที่ประกอบด้วยการเสนอชื่อ แบบทดสอบวัดการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และแบบทดสอบวัดความคิดระดับสูง
การค้นหานักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ
การสำรวจหาความสามารถเฉพาะทางของเด็กมีขั้นตอนตามหลักวิชา ซึ่งเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน 3 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 ขั้นสำรวจแบบคร่าว ๆ (Screening) อาจใช้วิธีการดังนี้
- การเสนอชื่อ โดยครูผู้ปกครอง ครูแนะแนว และนักจิตวิทยา เป็นต้น
- รายงานจากครูเกี่ยวกับตัวเด็ก เช่นความสามารถทางสติปัญญา ความกระตือรือร้น
- ประวัติจากครอบครัวเกี่ยวกับพัฒนาการ พฤติกรรมในวัยเด็ก การแก้ปัญหา
- ผลการเรียน ผลงานเด็ก
- ผลจากแบบสำรวจที่ใช้สำรวจความสามารถของเด็กหลาย ๆ ด้านแบบคร่าว ๆ
- ผลการสำรวจความสนใจ
- แบบทดสอบสติปัญญาแบบกลุ่ม
ขั้นที่ 2 ขั้นเจาะลึก เป็นขั้นที่หาความถูกต้องแม่นยำโดยใช้ข้อมูลที่คัดมาแล้วและทำการทดสอบ
เพิ่มเติมโดยการสัมภาษณ์พ่อ แม่ ครู ตัวเด็ก การทดสอบเฉพาะสาขา การทดสอบด้วยแบบทดสอบสติปัญญาเป็นรายบุคคลหรือการทดสอบความคิดสร้างสรรค์
ขั้นที่ 3 ขั้นคัดเลือกขั้นสุดท้าย เป็นการคัดเลือกโดยใช้ข้อมูลในขั้นที่ 2 คัดเลือกให้เหลือเด็กประมาณ 1-5% โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญร่วมตัดสิน
หลักสูตรของเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
สุรศักดิ์ หลาบมาลา (2536,3) ได้กล่าวถึงหลักสูตรที่เหมาะสำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ควรมีลักษณะดังนี้
- เนื้อหาวิชาควรเป็นแบบ content-based ที่จะทำให้เด็กเรียนไปได้อย่างรวดเร็วจากง่ายไป
หายาก ควรเน้นแนวความคิด หลักการ ทฤษฎี แล้วจึงลงไปสู่รายละเอียดปลีกย่อย และการนำเสนอแนวคิดเหล่านี้ไปใช้
- หลักสูตรควรมีเนื้อหาในลักษณะ กระบวนการ ผลลัพธ์และรายงานการวิจัย ที่ให้โอกาสเด็ก
ค้นลึกลงไปว่าเรื่องนี้ทำอย่างไร ได้ผลอะไรและมีวิธีการอย่างไร ควรให้โอกาสเด็กค้นคว้าศึกษาได้ทุกวิชาที่เรียนในหลักสูตรไม่ใช่เฉพาะวิชาที่เรียนในชั่วโมงเท่านั้น
เช่นเดียวกับอุษณีย์ โพธิสุข (2543, 114) ได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์ในการจัดการศึกษา สำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
- เนื้อหายากและท้าทายกว่าหลักสูตรสำหรับเด็กทั่วไป
- บูรณาการกันหลายวิชา
- ให้เด็กมีส่วนร่วมในการเลือกสิ่งที่จะเรียน
- กระบวนการเรียนการสอนมีความซับซ้อนมากกว่าหลักสูตรปกติ
- ตั้งเกณฑ์ในการพิจารณาผลงานหรือผลการเรียนรู้ชัดเจน
- เน้นกระบวนการคิดระดับสูง
- ให้ความสนใจกับความมุ่งมั่น กระตือรือร้นและการเปลี่ยนแปลงภายใน ที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของเด็ก
ความรู้
ความเข้าใจ
การนำไปใช้
การวิเคราะห์
การสังเคราะห์
การประเมินผล
วิธีที่ใช้ในห้องเรียนของเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
นอกจากการใช้รูปแบบทางการศึกษาที่กล่าวมาแล้ว การจัดการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ ควรเน้นทักษะการคิดในระดับสูงที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ซึ่งประกอบด้วย การฝึกความคิดสร้างสรรค์ กระบวนการคิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (creative thinking) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) การตัดสินใจ (decision making) การระดมพลังสมอง (brain stroming) และ metacognition
เฮ้าส์ (House. 1991, 35) กล่าวถึงบรรยากาศการเรียนของนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ ควรมีลักษณะดังนี้
- มีความร่วมมือกันระหว่างนักเรียน ครู และผู้ปกครอง
- เป็นหลักสูตรที่ยืดหยุ่นและบูรณาการ
- บรรยากาศคล้ายห้องสมุดหรือห้องปฏิบัติการที่เต็มไปด้วยวัสดุอุปกรณ์ เน้นการทดลอง และ
ความสัมพันธ์กัน
- พยายามเน้นกลุ่มใหญ่ให้น้อยที่สุดแต่เน้นกิจกรรมกลุ่มย่อยและการเรียนแบบร่วมมือ
- ประเมินความก้าวหน้าของเด็กบนพื้นฐานของการประเมินและการประเมินตนเอง
- บรรยากาศเต็มไปด้วยความไว้วางใจ การยอมรับ และการนับถือซึ่งกันและกัน
- การจัดโปรแกรมการเรียนสำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
- การจัดโปรแกรมการเรียนสำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษทำได้หลายลักษณะ แต่ที่รู้จักกันมากมี 4 วิธีคือ
1. วิธีเพิ่มพูนประสบการณ์ (Enrichment)
2. วิธีขยายหลักสูตร (Extention)
3. วิธีลดระยะเวลาการเรียน (Acceleration)
4. การให้ผู้เชี่ยวชาญพิเศษเป็นผู้ให้คำปรึกษาดูแล (Mentoring)
ในหลักสูตรให้มีความกว้างและลึกซึ้งขึ้นกว่าที่มีอยู่ในหลักสูตรปกติ เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาซึ่งเด็กอาจใช้เวลามากหรือน้อยกว่าเด็กอื่นในชั้นเรียนปกติก็ได้การสอนแบบเพิ่มพูนประสบการณ์นี้ จะช่วยให้เด็กพัฒนาสิ่งที่สนใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เป็นการปูพื้นฐานทักษะการเรียนรู้ ก ารคิดวิเคราะห์ สืบสวนสอบสวน การค้นหาความจริง สนับสนุนให้เด็กศึกษาหาความรู้ที่นอกเหนือจากจุดประสงค์ทั่วไปในหลักสูตร กิจกรรมที่จัดควรเปิดกว้าง มีการใช้คำถามปลายเปิดให้มากที่สุด อนุญาตให้นักเรียนเลือกหัวข้อกิจกรรมหรือเสนอแนะรูปแบบเนื้อหาการเรียนการสอน ฝึกหัดให้เด็กทำโครงสร้างการเรียนรู้หรือแผนที่ความรู้ของตนเอง ฝึกให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างกระจ่างแจ้ง มีการปรับกระบวนการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคน
วิธีขยายหลักสูตร (Extention) เป็นการจัดโปรแกรมการศึกษานอกหลักสูตร สำหรับเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ที่ตอบสนองความสนใจ และความสามารถเป็นรายบุคคล สามารถทำได้ทั้งเป็นงานเดี่ยวหรือกลุ่ม เด็กสามารถเรียนเกินกว่าหลักสูตร กิจกรรมที่สามารถทำได้เช่นการทำโครงการพิเศษ การเรียนในห้องศูนย์วิทยาการ การจัดค่ายวิชาการ การจัดการแข่งขัน เป็นต้น
วิธีลดระยะเวลาการเรียน (Acceleration) การลดระยะเวลาการเรียนสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การให้เข้าเรียนเร็วกว่าเด็กปกติ การข้ามชั้นเรียน การให้เรียนในชั้นที่สูงกว่าบางวิชา วิธีนี้เป็นวิธีที่ได้ผลดีมาก และเด็กจะไม่ถูกเพ่งเล็งมากนั้น ให้ทำงานในชั้นที่สูงกว่าแต่เด็กยังอยู่ในชั้นเดียวกับเพื่อน ย่นหลักสูตรให้เด็กเรียนจบเร็วขึ้นโดยเนื้อหาที่เรียนยังเท่าเดิม จัดกลุ่มเด็กที่มีความสามารถเรื่องเดียวกันแต่ต่างชั้นกันเรียนด้วยกัน
การให้ผู้เชี่ยวชาญพิเศษเป็นผู้ให้คำปรึกษาดูแล (Mentoring) เป็นการให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาช่วยเด็กที่มีความสามารถโดดเด่น เด็กสามารถทำงานภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ เช่นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ครูที่สนใจเรื่องเดียวกับเด็ก นักเคมี นักโบราณคดี เป็นต้น
ลักษณะของครูคณิตศาสตร์ที่จะสอนนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ
เฮาส์ (House. 41-42) กล่าวถึงลักษณะสำคัญของครูคณิตศาสตร์ ที่จะสอนนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษไว้ดังนี้
1. มีสุขภาพดี ยอมรับความจริง ไวต่อความรู้สึกของคนอื่น ยอมรับ นับถือบุคคลอื่น จริงใจ
2. ยืดหยุ่น และเต็มไปด้วยข้อมูล
3. แข็งแรงและมีชีวิตชีวา
4. มีประสบการณ์และวุฒิภาวะ
5. มีพื้นความรู้ทางคณิตศาสตร์ที่แข็งและมีปริญญาบัตร
6. มีความสนใจใฝ่รู้ทั้งในสาขาคณิตศาสตร์และอื่นๆ
7. มีบุคลิกที่แสดงออกถึงความกระตือรือร้นทางคณิตศาสตร์และการสอน สามารถทำให้มีการสอนมีชีวิตชีวา และ
ชอบแลกเปลี่ยนแนวความคิด
8. ใช้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง ให้ความสนใจในการกระทำของนักเรียนและยอมรับในความสามารถ
เป็นผู้นำ เป็นผู้สร้างแรงจูงใจ สามารถรับฟังและเรียนรู้จากเด็กว่าเด็กพูดอะไรและทำอะไร
9. มีอารมณ์ขันและสามารถทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน
10. เข้าใจสังคม อารมณ์ ความต้องการของเด็กที่มีความสามารถพิเศษและชอบที่จะสอนเด็กที่มีความสามารถพิเศษ
11. เข้าใจความคิดและรูปแบบการเรียนของเด็กที่มีความสามารถพิเศษ โดยเฉพาะเมื่อเด็กมี
ความแตกต่างจากตัวครูเอง ยอมรับแนวคิดที่แปลกใหม่และอดทนต่อความคลุมเครือ
12. กระตือรือร้นที่จะค้นหาความรู้ ความคิดใหม่ ๆ มองการสอนเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคล
13. มีความเชื่อมั่นในตนเองและความสามารถของตนไม่ถูกชักจูงโดยเด็กที่มีความสามารถพิเศษ ไม่หวั่นไหวจากการท้าทายของนักเรียนแต่มั่นคง ในการผลักดันให้ไปสู่เป้าหมายที่เป็นการค้นหาความรู้ใหม่ด้วยกัน เห็นคุณค่าของความเปลี่ยนแปลง ความงอกงามและยอมรับในความเป็นจริงของตนเองและผู้อื่น
บรรณานุกรม
พิชากร แปลงประสพโชค. การพัฒนาหลักสูตรพิเศษทางเรขาคณิตเสริมสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษา
ตอนต้นที่มีความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์. ปริญญานิพนธ์ กศ.ด. กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 2540.
ยุพร ริมชลการ. การพัฒนาหลักสูตรพีชคณิตสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่มีความสามารถ
พิเศษทางคณิตศาสตร์. ปริญญานิพนธ์ กศ.ด. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ,2543
สุรศักดิ์ หลาบมาลา “การศึกษาสำหรับเด็กเรียนเก่ง” วารสารการศึกษา กทม. ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 ตุลาคม
2532
อุษณีย์ โพธิสุข. แผนที่สู่การพัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก. มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์, กรุงเทพฯ. 2543.
House, Geggy A. Provinding Oppurtunities for the Mathematically Gifted, K-12
National Council of Teachers of Mathematics. 1991.
มาจาก http://www.km.skn.go.th/index.php?name=research&file=readresearch&id=20
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น